Hello there :)
I just start blogging for not very long and still learning how it works. So please feel free to leave comments just about anything. Ideas and suggestions about how to improve things will be very appreciated. Thanks!
Monday, 13 September 2010
Michael Bublé - "Haven't Met You Yet" (Live)
I just realized he's the one who sang another song I love.
I love his style! :)
14 กันยายน 2553 - ผ่านไป
เสียงเครื่องตรวจปริมาณออกซิเจนของลูกดังติ๊ด ติ๊ด...
ฉันได้แต่ยืนอยู่ข้างๆตู้อบสำหรับเด็กแรกเกิด จ้องมองเข้าไปในตู้ ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคิดหรือรู้สึกอย่างไร
คุณหมอเด็ก ที่สนิทกับพ่อของฉัน มาเยี่ยมดูลูกในวันที่ 4 หลังคลอด ฉันอยู่ตามลำพังกับลูก เพราะอยากจะฝึกให้นมด้วยตัวเองก่อนจะต้องกลับบ้าน พี่สาวฉันมาเยี่ยมเหมือนทุกวัน แล้วในขณะที่อาหมอกับลังคุยกับพี่สาว ฉันก้มไปมองหน้าลูก เห็นผิวลูกเปลี่ยนเป็นสีอมม่วงเลยถามเบาๆว่าลูกหนาวไหม อาหมอหันมาดูบ้าง แล้วอุ้มลูกวิ่งไปห้องพักเด็กอ่อนทันที พี่สาวฉันวิ่งตามไป ฉันยังไม่ตกใจมากนัก อาการเจ็บแผลผ่าคลอดยังมีอยู่มาก เลยได้แต่ค่อยๆเดินช้าๆออกมาที่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาล ขอรถเข็นตามไป
ผ่านไปไม่นาน อาหมอบอกฉันว่าลูกมีอาการขาดออกซิเจนเป็นพักๆ ฟังจากเสียงตรวจวัดระดับออกซิเจนในตอนนี้ฉันก็พอรู้ มันยังเตือนว่าออกซิเจนต่ำอยู่หลายครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ อาหมอเลยขอย้ายลูกลงไปอยู่ห้องฉุกเฉินสำหรับเด็กแรกเกิด พี่สาวฉันมีสีหน้าวิตกกังวล แต่บอกตามตรง ตอนนั้นฉันเองยังไม่รู้สึกอะไรมากนัก ไม่นานพี่สาวฉันต้องออกไปรับลูกที่โรงเรียน ช่วงนี้พ่อแม่ของฉันก็มีภาระเรื่องอื่นที่หนักหนามากพอสมควร ฉันจึงไม่มีใครมาเยี่ยมบ่อยนัก กลางวันฉันจึงอยู่คนเดียวซะเป็นส่วนใหญ่ อาหมอบอกว่ารอให้ห้องข้างล่างพร้อมแล้วจะย้ายลูกลงไป แกเองก็ต้องไปดูคนไข้คนอื่นต่อ แปลกที่ในตอนนั้นหน้าตาอาหมอ ยังดูวิตกกังวลมากกว่าฉันหลายเท่า
ลูกนอนหายใจเบาๆอยู่ในตู้อบ เราสองคนรอเวลาอยู่ในห้องเล็กๆห้องหนึ่งของส่วนดูแลเด็กแรกเกิด ฉันยืนอยู่นิ่งๆสักพัก พยาบาลที่อยู่ใกล้ๆคงเห็นเลยบอกฉันว่าฉันจับตัวลูกได้ เค้าเลยเปิดประตูบานเล็กๆข้างๆตู้ให้ฉันได้ยื่นมือเข้าไป ฉันจับมือเล็กๆของลูกเบาแสนเบา
ห้องเล็กๆห้องนั้นเงียบสงบลงไป เดือนเกิดของลูกเป็นเดือนยอดนิยมของปีนั้น คนมาทำคลอดกันจนห้องพักเต็ม พยาบาลดูแลเด็กมีงานล้นมือ พอเปิดตู้ให้ฉันแล้วเธอจึงต้องรีบออกไปทำงานอย่างอื่นต่อ ฉันเงียบ... ฟังเสียงติ๊ดๆของเครื่องที่ติดกับนิ้วเล็กๆของลูกต่อไป ในใจเริ่มคิดขึ้นมาได้ ฉันเพิ่งรู้สึก ณ วินาทีนั้น ว่าลูก.. ฉันมีลูก และลูกของฉันกำลังป่วย
บอกตามตรง กว่าฉันจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่จริงๆก็วันนั้นเอง
ฉันกระซิบกับลูกเบาๆว่า “เข้มแข็งนะ หนูเจ็บบ้างไหม แม่อยากให้หนูอดทน ไม่ต้องกลัว เข้มแข็งเหมือนที่แม่เข้มแข็ง”เสียงติ๊ด..ติ๊ด ยังดังอยู่อย่างสม่ำเสมอ ดังแล้วก็เงียบเป็นระยะ
ฉันเดินลงไปส่งลูกที่ห้องฉุกเฉิน รอจนพบคุณหมอที่ชำนาญพิเศษเกี่ยวกับเด็กแรกเกิด คุณหมอบอกว่าลูกขาดน้ำมาก คงเพราะนอนเก่ง กินนมน้อย ต้องให้น้ำเกลือ ส่วนเรื่องขาดออกซิเจนยังไม่รู้สาเหตุ แต่จะลองเพาะเชื้อดู อาจติดเชื้อหรือไม่ก็ได้ทั้งนั้น ต้องรอประมาณ 24 ชั่วโมง ฉันฟังทุกรายละเอียดอย่างตั้งใจ และมั่นใจว่าคุณหมอกำลังดูแลลูกฉันอย่างดีที่สุดแล้ว
โชคดีที่น้ำนมมาตั้งแต่วันแรกคลอด อาหมอแวะมาหาฉันหลังจากคุยกับคุณหมอเฉพาะทางเสร็จ แกให้กำลังใจ บอกฉันต้องเปลี่ยนวิธีให้นมเป็นแบบหยอดหรือดูดจากขวด สำหรับฉันสิ่งสำคัญไม่ใช่วิธีการให้อยู่แล้ว ความรักของฉันอยู่ที่ตัวลูก ไม่ใช่น้ำนมไม่ใช่การให้นม ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องคิด ฉันก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย อาหมอบอกให้ฉันขยันปั้มนม ตอนนี้เราแค่รอผล อาหมอคงกลัวว่าความเครียดจะทำให้ฉันไม่มีน้ำนมพอให้ลูก
ฉันเห็นลูกได้น้ำเกลือ แล้วย้ายไปนอนในตู้อบพิเศษของห้องฉุกเฉินเด็กเรียบร้อย จึงกลับขึ้นห้องพักไปอาบน้ำเพราะยังไม่ได้อาบมาตั้งแต่เช้า ระหว่างเดินก็กดโทรศัพท์หาสามี เล่าอาการลูกให้ฟัง ฉันบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆจนกระทั่งเกือบจะวางสายน้ำตาหยดแรกค่อยๆไหลออกมา...ฉันเป็นห่วงลูก แต่น้ำตากับความกังวลใจก็หายไปหลังจากอาบน้ำ ฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าจะทำอย่างไร คำตอบที่ได้คือทำให้ดีที่สุดในส่วนของฉัน ฉันจะมีน้ำนมให้ลูก ฉันต้องเข้มแข็งเหมือนที่บอกกับลูกเอาไว้
ตกเย็นพ่อแม่พี่สาวและหลานฉันแวะเข้ามาเยี่ยม พี่สาวฉันน้ำตาไหลกังวลใจว่าตัวเองเป็นต้นเหตุหรือเปล่า เพราะกำลังเป็นหวัดอยู่นิดหน่อย ฉันไม่สนใจหรอกว่าความเป็นจริงมันจะเกิดจากสาเหตุอะไร ฉันสนใจผลและสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ฉันปลอบใจพี่ แล้วขึ้นไปกินข้าวจนหมดจาน ใช่แล้ว..ฉันกินข้าวอย่างคนไม่กังวล ฉันรู้สึกมั่นใจจริงๆว่าฉันได้ทำส่วนของตัวเองอย่างดี หลังจากทุกคนกลับไปฉันก็ลงไปเฝ้าลูกอีก ตอนนั้นฉันยังอุ้มลูกไม่ได้ ได้แต่มองผ่านตู้อบ ฉันเปลี่ยนมาปั๊มนมในห้องปั๊มของแผนกฉุกเฉิน รู้สึกมีกำลังใจอย่างมากแค่ได้อยู่ใกล้ลูก
ความอ่อนแอของฉันเริ่มต้นในคืนนั้นเอง ทุกคืนที่ผ่านมาฉันจะตื่นเองอัตโนมัติทุกๆสามชั่วโมงเพื่อให้นมลูก พยาบาลจะเข็นเตียงเล็กๆพาลูกเข้ามาในห้องพัก คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ คอยมองประตูห้องเหมือนพยาบาลจะพาลูกเข้ามาตลอดเวลา ความมืดและความเงียบตอกย้ำว่าลูกฉันป่วย สามีของฉันนอนหลับไปตั้งนานแล้ว ก่อนนอนเขาถามว่าฉันเป็นยังไงบ้าง ฉันก็ได้แต่ตอบว่ากังวลมาก แล้วถามว่าเขาเองรู้สึกยังไง เขาตอบว่า...
เขาจะไม่ยอมเสียใจ เศร้าใจไปก่อนแม้แต่วันเดียว จะไม่ยอมเสียเวลาความสุขที่มีลูกอยู่อย่างวันนี้
ถ้าหากอาการป่วยของลูกจะต้องทำให้ลูกไม่ได้อยู่กับเราอีก เขาก็จะรอจนเสียใจในวันนั้น
ฉันเห็นด้วยอย่างเต็มที่ มันคือความจริงที่ฉันเองก็จะทำให้ได้เหมือนกัน ความดีใจที่ลูกได้เกิดมาเป็นลูกของฉัน ความโชคดีที่ฉันได้เป็นแม่ของเค้า ไม่ว่ายังไงมันก็มาถึงเรียบร้อยแล้ว ส่วนมันจะยาวนานแค่ไหน ฉันไม่สนใจ
คืนนั้นฉันใช้เวลาที่ตัวเองนอนไม่หลับไปกับการกินนมร้อนๆ เดินไปปั๊มนมพร้อมกับเยี่ยมลูกทุกๆสามชั่วโมง หน้าตาลูกดูสดใสขึ้นมาก คงเพราะได้น้ำเกลือช่วย ฉันใจชื้นกับภาพที่เห็น แต่เสียงติ๊ด..ติ๊ด ก็ยังมีอยู่
คืนที่สองตอนหัวค่ำที่ฉันลงไปเยี่ยมลูกและปั๊มนม พยาบาลให้ฉันอุ้มลูกและป้อนนมจากขวดด้วยตัวเองแล้ว ฉันดีใจมากบรรยายไม่ถูก แกกินนมเก่งขึ้นมากในวันนี้ ดูดแป๊บเดียวนมหมดขวด ฉันเองก็ปั๊มนมได้เยอะจนพยาบาลและอาหมอแปลกใจ ลูกอยู่ห้องฉุกเฉินในวันที่สอง ฉันก็เริ่มมีสต๊อคนมแม่กับเขาแล้ว ฉันยังจำได้ดีว่าวันนั้นที่ได้อุ้มลูกออกจากตู้อบ ฉันเก็บเสื้อหนาวที่ใส่ตอนอุ้มลูกไปนอนกอดอยู่เป็นนานสองนาน หายคิดถึงช่วงเวลาที่ได้กอดลูกให้นมบนเตียงคนไข้ไปได้มาก
ผลเพาะเชื้อออกมาว่าแกไม่ได้ติดเชื้ออะไร หมอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร รู้แต่ว่าพอให้ลูกนอนหัวสูงหน่อยอาการขาดอ๊อกซิเจนก็จะหายไป หลังจากนั้นเลยเป็นช่วงเวลาที่ฉันเพียงแต่เฝ้าดูอาการไป พร้อมๆกับดูแลตัวเองให้มีน้ำนมให้ลูกมากๆ ฉันโชคดีที่พ่อแม่เข้าใจและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความสบายใจของฉัน ฉันขออยู่โรงพยาบาลต่อจนกว่าลูกจะพร้อมกลับบ้าน ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่มาคลอดแล้วอยู่โรงพยาบาล 4 วัน ฉันอยู่ที่นั่นนานถึง 10 วัน อยู่จนโรงพยาบาลกลายเป็นเหมือนบ้านอีกหลังหนึ่ง
ระหว่างช่วงเวลานั้นเองฉันเริ่มมองไปรอบตัว มีเด็กคนอื่นอีกสามสี่คนที่ต้องพักอยู่ห้องฉุกเฉินกับลูกของฉัน หนึ่งในนั้นนอนอยู่ในเครื่องพิเศษในห้องพิเศษอีกห้องหนึ่งติดๆกัน พยาบาลเล่าว่าเค้าเกิดก่อนกำหนดนานหลายเดือน น้ำหนักแรกเกิดเพียง 600-700 กรัมเท่านั้น ณ วันที่ลูกของฉันเข้าไปนอนห้องฉุกเฉิน คุณหมอดูแลจนแกน้ำหนักขึ้นมาถึง 1 กิโลกรัมแล้ว ฉันโชคดีแค่ไหนที่ลูกป่วยเพียงแค่นี้
บ่ายวันก่อนกลับบ้าน ฉันมีโอกาสได้เจอพ่อกับแม่ของเด็กคนนั้นโดยบังเอิญ ปกติฉันลงไปเยี่ยมลูกไม่เคยเจอกับพวกเค้าเลย พ่อของเด็กตัวโตมาก แม่เองก็ไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กซะทีเดียว หน้าตาของพวกเขาเรียบเฉย ไม่ได้ยิ้มแย้มแต่ก็ไม่ได้ดูเคร่งเครียดมากนัก พวกเขาเปิดประตูห้องฉุกเฉินเข้าไป แล้วจับบานประตูไว้ให้ฉันเดินเข้าไปด้วย แปลก...ที่บางคนที่ไม่มีเรื่องหนักหนาในชีวิต แทบไม่เคยเปิดประตูให้คนถัดไปเลย
เรื่องเล่าเรื่องนี้... ฉันเก็บเอาไว้เตือนใจตัวเอง
เหตุการณ์บางอย่างในชีวิตอาจเกิดขึ้น ด้วยเหตุผลที่เราอธิบายไม่ได้ มันเกิด เพียงเพราะต้องเกิด
หากเรามัวแต่ถามตัวเองวกวนไปมาว่าทำไมต้องเกิด ทำไมต้องเกิดกับฉัน ทำไมเป็นฉัน ก็เป็นเพียงเวลาที่เสียไปกับความทุกข์ที่ไม่มีวันจบสิ้น ฉันไม่เสียเวลาตั้งคำถามแบบนั้นกับเหตุการณ์นี้ในชีวิต ฉันถามตัวเองแค่ว่าจะทำยังไงต่อไป มีอะไรที่ฉันทำได้บ้าง แล้วฉันก็ก้มหน้าก้มตาทำมันอย่างดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของฉันมี ทุกๆสิ่งมันก็จะเป็นอย่างที่ควรจะเป็น เป็นไปอย่างที่ต้องเป็นไป
ชีวิตคนเราก็มีแค่นี้ ทั้งความรู้สึก ความกังวล ความกลัว ความทุกข์หรือแม้แต่ความสุข
ผ่านมา.....แล้วก็ผ่านไป
เที่ยงคืน 58 นาที
ฉันได้แต่ยืนอยู่ข้างๆตู้อบสำหรับเด็กแรกเกิด จ้องมองเข้าไปในตู้ ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคิดหรือรู้สึกอย่างไร
คุณหมอเด็ก ที่สนิทกับพ่อของฉัน มาเยี่ยมดูลูกในวันที่ 4 หลังคลอด ฉันอยู่ตามลำพังกับลูก เพราะอยากจะฝึกให้นมด้วยตัวเองก่อนจะต้องกลับบ้าน พี่สาวฉันมาเยี่ยมเหมือนทุกวัน แล้วในขณะที่อาหมอกับลังคุยกับพี่สาว ฉันก้มไปมองหน้าลูก เห็นผิวลูกเปลี่ยนเป็นสีอมม่วงเลยถามเบาๆว่าลูกหนาวไหม อาหมอหันมาดูบ้าง แล้วอุ้มลูกวิ่งไปห้องพักเด็กอ่อนทันที พี่สาวฉันวิ่งตามไป ฉันยังไม่ตกใจมากนัก อาการเจ็บแผลผ่าคลอดยังมีอยู่มาก เลยได้แต่ค่อยๆเดินช้าๆออกมาที่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาล ขอรถเข็นตามไป
ผ่านไปไม่นาน อาหมอบอกฉันว่าลูกมีอาการขาดออกซิเจนเป็นพักๆ ฟังจากเสียงตรวจวัดระดับออกซิเจนในตอนนี้ฉันก็พอรู้ มันยังเตือนว่าออกซิเจนต่ำอยู่หลายครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ อาหมอเลยขอย้ายลูกลงไปอยู่ห้องฉุกเฉินสำหรับเด็กแรกเกิด พี่สาวฉันมีสีหน้าวิตกกังวล แต่บอกตามตรง ตอนนั้นฉันเองยังไม่รู้สึกอะไรมากนัก ไม่นานพี่สาวฉันต้องออกไปรับลูกที่โรงเรียน ช่วงนี้พ่อแม่ของฉันก็มีภาระเรื่องอื่นที่หนักหนามากพอสมควร ฉันจึงไม่มีใครมาเยี่ยมบ่อยนัก กลางวันฉันจึงอยู่คนเดียวซะเป็นส่วนใหญ่ อาหมอบอกว่ารอให้ห้องข้างล่างพร้อมแล้วจะย้ายลูกลงไป แกเองก็ต้องไปดูคนไข้คนอื่นต่อ แปลกที่ในตอนนั้นหน้าตาอาหมอ ยังดูวิตกกังวลมากกว่าฉันหลายเท่า
ลูกนอนหายใจเบาๆอยู่ในตู้อบ เราสองคนรอเวลาอยู่ในห้องเล็กๆห้องหนึ่งของส่วนดูแลเด็กแรกเกิด ฉันยืนอยู่นิ่งๆสักพัก พยาบาลที่อยู่ใกล้ๆคงเห็นเลยบอกฉันว่าฉันจับตัวลูกได้ เค้าเลยเปิดประตูบานเล็กๆข้างๆตู้ให้ฉันได้ยื่นมือเข้าไป ฉันจับมือเล็กๆของลูกเบาแสนเบา
ห้องเล็กๆห้องนั้นเงียบสงบลงไป เดือนเกิดของลูกเป็นเดือนยอดนิยมของปีนั้น คนมาทำคลอดกันจนห้องพักเต็ม พยาบาลดูแลเด็กมีงานล้นมือ พอเปิดตู้ให้ฉันแล้วเธอจึงต้องรีบออกไปทำงานอย่างอื่นต่อ ฉันเงียบ... ฟังเสียงติ๊ดๆของเครื่องที่ติดกับนิ้วเล็กๆของลูกต่อไป ในใจเริ่มคิดขึ้นมาได้ ฉันเพิ่งรู้สึก ณ วินาทีนั้น ว่าลูก.. ฉันมีลูก และลูกของฉันกำลังป่วย
บอกตามตรง กว่าฉันจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่จริงๆก็วันนั้นเอง
ฉันกระซิบกับลูกเบาๆว่า “เข้มแข็งนะ หนูเจ็บบ้างไหม แม่อยากให้หนูอดทน ไม่ต้องกลัว เข้มแข็งเหมือนที่แม่เข้มแข็ง”เสียงติ๊ด..ติ๊ด ยังดังอยู่อย่างสม่ำเสมอ ดังแล้วก็เงียบเป็นระยะ
ฉันเดินลงไปส่งลูกที่ห้องฉุกเฉิน รอจนพบคุณหมอที่ชำนาญพิเศษเกี่ยวกับเด็กแรกเกิด คุณหมอบอกว่าลูกขาดน้ำมาก คงเพราะนอนเก่ง กินนมน้อย ต้องให้น้ำเกลือ ส่วนเรื่องขาดออกซิเจนยังไม่รู้สาเหตุ แต่จะลองเพาะเชื้อดู อาจติดเชื้อหรือไม่ก็ได้ทั้งนั้น ต้องรอประมาณ 24 ชั่วโมง ฉันฟังทุกรายละเอียดอย่างตั้งใจ และมั่นใจว่าคุณหมอกำลังดูแลลูกฉันอย่างดีที่สุดแล้ว
โชคดีที่น้ำนมมาตั้งแต่วันแรกคลอด อาหมอแวะมาหาฉันหลังจากคุยกับคุณหมอเฉพาะทางเสร็จ แกให้กำลังใจ บอกฉันต้องเปลี่ยนวิธีให้นมเป็นแบบหยอดหรือดูดจากขวด สำหรับฉันสิ่งสำคัญไม่ใช่วิธีการให้อยู่แล้ว ความรักของฉันอยู่ที่ตัวลูก ไม่ใช่น้ำนมไม่ใช่การให้นม ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องคิด ฉันก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย อาหมอบอกให้ฉันขยันปั้มนม ตอนนี้เราแค่รอผล อาหมอคงกลัวว่าความเครียดจะทำให้ฉันไม่มีน้ำนมพอให้ลูก
ฉันเห็นลูกได้น้ำเกลือ แล้วย้ายไปนอนในตู้อบพิเศษของห้องฉุกเฉินเด็กเรียบร้อย จึงกลับขึ้นห้องพักไปอาบน้ำเพราะยังไม่ได้อาบมาตั้งแต่เช้า ระหว่างเดินก็กดโทรศัพท์หาสามี เล่าอาการลูกให้ฟัง ฉันบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆจนกระทั่งเกือบจะวางสายน้ำตาหยดแรกค่อยๆไหลออกมา...ฉันเป็นห่วงลูก แต่น้ำตากับความกังวลใจก็หายไปหลังจากอาบน้ำ ฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าจะทำอย่างไร คำตอบที่ได้คือทำให้ดีที่สุดในส่วนของฉัน ฉันจะมีน้ำนมให้ลูก ฉันต้องเข้มแข็งเหมือนที่บอกกับลูกเอาไว้
ตกเย็นพ่อแม่พี่สาวและหลานฉันแวะเข้ามาเยี่ยม พี่สาวฉันน้ำตาไหลกังวลใจว่าตัวเองเป็นต้นเหตุหรือเปล่า เพราะกำลังเป็นหวัดอยู่นิดหน่อย ฉันไม่สนใจหรอกว่าความเป็นจริงมันจะเกิดจากสาเหตุอะไร ฉันสนใจผลและสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ฉันปลอบใจพี่ แล้วขึ้นไปกินข้าวจนหมดจาน ใช่แล้ว..ฉันกินข้าวอย่างคนไม่กังวล ฉันรู้สึกมั่นใจจริงๆว่าฉันได้ทำส่วนของตัวเองอย่างดี หลังจากทุกคนกลับไปฉันก็ลงไปเฝ้าลูกอีก ตอนนั้นฉันยังอุ้มลูกไม่ได้ ได้แต่มองผ่านตู้อบ ฉันเปลี่ยนมาปั๊มนมในห้องปั๊มของแผนกฉุกเฉิน รู้สึกมีกำลังใจอย่างมากแค่ได้อยู่ใกล้ลูก
ความอ่อนแอของฉันเริ่มต้นในคืนนั้นเอง ทุกคืนที่ผ่านมาฉันจะตื่นเองอัตโนมัติทุกๆสามชั่วโมงเพื่อให้นมลูก พยาบาลจะเข็นเตียงเล็กๆพาลูกเข้ามาในห้องพัก คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ คอยมองประตูห้องเหมือนพยาบาลจะพาลูกเข้ามาตลอดเวลา ความมืดและความเงียบตอกย้ำว่าลูกฉันป่วย สามีของฉันนอนหลับไปตั้งนานแล้ว ก่อนนอนเขาถามว่าฉันเป็นยังไงบ้าง ฉันก็ได้แต่ตอบว่ากังวลมาก แล้วถามว่าเขาเองรู้สึกยังไง เขาตอบว่า...
เขาจะไม่ยอมเสียใจ เศร้าใจไปก่อนแม้แต่วันเดียว จะไม่ยอมเสียเวลาความสุขที่มีลูกอยู่อย่างวันนี้
ถ้าหากอาการป่วยของลูกจะต้องทำให้ลูกไม่ได้อยู่กับเราอีก เขาก็จะรอจนเสียใจในวันนั้น
ฉันเห็นด้วยอย่างเต็มที่ มันคือความจริงที่ฉันเองก็จะทำให้ได้เหมือนกัน ความดีใจที่ลูกได้เกิดมาเป็นลูกของฉัน ความโชคดีที่ฉันได้เป็นแม่ของเค้า ไม่ว่ายังไงมันก็มาถึงเรียบร้อยแล้ว ส่วนมันจะยาวนานแค่ไหน ฉันไม่สนใจ
คืนนั้นฉันใช้เวลาที่ตัวเองนอนไม่หลับไปกับการกินนมร้อนๆ เดินไปปั๊มนมพร้อมกับเยี่ยมลูกทุกๆสามชั่วโมง หน้าตาลูกดูสดใสขึ้นมาก คงเพราะได้น้ำเกลือช่วย ฉันใจชื้นกับภาพที่เห็น แต่เสียงติ๊ด..ติ๊ด ก็ยังมีอยู่
คืนที่สองตอนหัวค่ำที่ฉันลงไปเยี่ยมลูกและปั๊มนม พยาบาลให้ฉันอุ้มลูกและป้อนนมจากขวดด้วยตัวเองแล้ว ฉันดีใจมากบรรยายไม่ถูก แกกินนมเก่งขึ้นมากในวันนี้ ดูดแป๊บเดียวนมหมดขวด ฉันเองก็ปั๊มนมได้เยอะจนพยาบาลและอาหมอแปลกใจ ลูกอยู่ห้องฉุกเฉินในวันที่สอง ฉันก็เริ่มมีสต๊อคนมแม่กับเขาแล้ว ฉันยังจำได้ดีว่าวันนั้นที่ได้อุ้มลูกออกจากตู้อบ ฉันเก็บเสื้อหนาวที่ใส่ตอนอุ้มลูกไปนอนกอดอยู่เป็นนานสองนาน หายคิดถึงช่วงเวลาที่ได้กอดลูกให้นมบนเตียงคนไข้ไปได้มาก
ผลเพาะเชื้อออกมาว่าแกไม่ได้ติดเชื้ออะไร หมอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร รู้แต่ว่าพอให้ลูกนอนหัวสูงหน่อยอาการขาดอ๊อกซิเจนก็จะหายไป หลังจากนั้นเลยเป็นช่วงเวลาที่ฉันเพียงแต่เฝ้าดูอาการไป พร้อมๆกับดูแลตัวเองให้มีน้ำนมให้ลูกมากๆ ฉันโชคดีที่พ่อแม่เข้าใจและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความสบายใจของฉัน ฉันขออยู่โรงพยาบาลต่อจนกว่าลูกจะพร้อมกลับบ้าน ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่มาคลอดแล้วอยู่โรงพยาบาล 4 วัน ฉันอยู่ที่นั่นนานถึง 10 วัน อยู่จนโรงพยาบาลกลายเป็นเหมือนบ้านอีกหลังหนึ่ง
ระหว่างช่วงเวลานั้นเองฉันเริ่มมองไปรอบตัว มีเด็กคนอื่นอีกสามสี่คนที่ต้องพักอยู่ห้องฉุกเฉินกับลูกของฉัน หนึ่งในนั้นนอนอยู่ในเครื่องพิเศษในห้องพิเศษอีกห้องหนึ่งติดๆกัน พยาบาลเล่าว่าเค้าเกิดก่อนกำหนดนานหลายเดือน น้ำหนักแรกเกิดเพียง 600-700 กรัมเท่านั้น ณ วันที่ลูกของฉันเข้าไปนอนห้องฉุกเฉิน คุณหมอดูแลจนแกน้ำหนักขึ้นมาถึง 1 กิโลกรัมแล้ว ฉันโชคดีแค่ไหนที่ลูกป่วยเพียงแค่นี้
บ่ายวันก่อนกลับบ้าน ฉันมีโอกาสได้เจอพ่อกับแม่ของเด็กคนนั้นโดยบังเอิญ ปกติฉันลงไปเยี่ยมลูกไม่เคยเจอกับพวกเค้าเลย พ่อของเด็กตัวโตมาก แม่เองก็ไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กซะทีเดียว หน้าตาของพวกเขาเรียบเฉย ไม่ได้ยิ้มแย้มแต่ก็ไม่ได้ดูเคร่งเครียดมากนัก พวกเขาเปิดประตูห้องฉุกเฉินเข้าไป แล้วจับบานประตูไว้ให้ฉันเดินเข้าไปด้วย แปลก...ที่บางคนที่ไม่มีเรื่องหนักหนาในชีวิต แทบไม่เคยเปิดประตูให้คนถัดไปเลย
เรื่องเล่าเรื่องนี้... ฉันเก็บเอาไว้เตือนใจตัวเอง
เหตุการณ์บางอย่างในชีวิตอาจเกิดขึ้น ด้วยเหตุผลที่เราอธิบายไม่ได้ มันเกิด เพียงเพราะต้องเกิด
หากเรามัวแต่ถามตัวเองวกวนไปมาว่าทำไมต้องเกิด ทำไมต้องเกิดกับฉัน ทำไมเป็นฉัน ก็เป็นเพียงเวลาที่เสียไปกับความทุกข์ที่ไม่มีวันจบสิ้น ฉันไม่เสียเวลาตั้งคำถามแบบนั้นกับเหตุการณ์นี้ในชีวิต ฉันถามตัวเองแค่ว่าจะทำยังไงต่อไป มีอะไรที่ฉันทำได้บ้าง แล้วฉันก็ก้มหน้าก้มตาทำมันอย่างดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของฉันมี ทุกๆสิ่งมันก็จะเป็นอย่างที่ควรจะเป็น เป็นไปอย่างที่ต้องเป็นไป
ชีวิตคนเราก็มีแค่นี้ ทั้งความรู้สึก ความกังวล ความกลัว ความทุกข์หรือแม้แต่ความสุข
ผ่านมา.....แล้วก็ผ่านไป
เที่ยงคืน 58 นาที
10 กันยายน 2553 - เปลี่ยน
10 กันยายน 2553
เราต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนความคิด และเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองกระทำ ด้วยตัวของเราเอง
อย่าไปมัวลังเลหรือเสียเวลากับความคิดที่ย้อนไปมาว่าที่ผ่านมาเราเชื่ออะไร
ความกังวล หลายๆครั้งมันทำให้เราเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เราเสียความรู้สึกไปกับความกังวลที่ไม่ใช่เรื่องของปัจจุบัน
คำว่า”กังวล” สำหรับฉันคือความรู้สึกจากอดีตหรือเผื่อไปถึงอนาคตมากเกินไป
และหลายๆครั้ง มันไม่ได้แก้ปัญหาของปัจจุบัน หรือเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าเลย
คืนนั้นลูกตื่นมาร้องไห้หลายสิบครั้ง ร้องไห้ทั้งที่ไม่ลืมตา ร้องแบบสะอึกสะอื้นเหมือนเวลาผู้ใหญ่อย่างเราเก็บอะไรไว้หลายอย่างจนต้องระเบิดออกมานั่นแหละ ถ้าเป็นปกติฉันจะเริ่มดุลูกในครั้งที่สี่หรือห้าที่แกตื่นมาร้องไห้แบบไม่มีเหตุผลแล้ว แต่คืนนั้นฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น
ฉันปล่อยให้แกตื่นมาร้องไห้ อุ้มเท่าที่ทำได้ เหนื่อยก็เพียงแต่เงียบและรอจนตัวเองมีใจจะอุ้มจริงๆจึงอุ้มแกขึ้นมา ปะป๊าเริ่มทนไม่ไหวแล้วเดินมาดุลูกเองบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายลูกคงเหนื่อยจนหลับไป ส่วนฉัน..ก็นอนคิด น้ำตาไหล
ฉันกำลังทำอะไรอยู่?
ฉันดุลูก บังคับให้กินข้าว เพื่ออะไร?
เพื่อให้หายหวัด ให้กลับมาแข็งแรงเร็วๆ หรือเพื่อให้ฉันคลายความกังวลลง
ฉันเริ่มมองเห็นความเห็นแก่ตัวของคนเป็นแม่ในหลายๆด้าน
เราใช้ความรัก ความห่วงเป็นข้ออ้างในหลายอย่างที่ทำ และมันก็ฟังดูดี แต่แล้วลูกของเราก็งอแง เอาแต่ใจ แล้วเราก็บ่นว่าทำไมลูกเลี้ยงยากเลี้ยงเย็น ทำไมการมีลูกมันถึงได้ลำบากอย่างนี้ ทำไมอย่างโน้น ทำไมอย่างนี้
แล้วฉันก็คิดได้ว่า มันไม่ใช่ “ทำไม” อะไรทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างกำหนดได้ที่ตัวฉันเอง
ลูกไม่กินสักมื้อ สักวัน สักสามวัน สักสี่วัน น้ำหนักคงลดฮวบฮาบ แต่เค้าจะไม่ตาย ไม่ทุกข์ เพียงแต่ไม่สบายกาย
ฉันดุด่า บังคับลูกสักมื้อ สักวัน สักสามวันสี่ห้าวัน น้ำหนักแกก็จะลดฮวบฮาบ มีแต่ทุกข์ กังวล เสียใจ ไม่สบายทั้งกายและใจ
แล้วฉันจะทำไปเพื่ออะไร?
ฉันนอนหลับไป โดยเลิกคิดถึงอดีต เลิกคิดถึงวันนี้ เลิกคิดถึงพรุ่งนี้ เรื่องอาหารมื้อหน้า
เรื่องอาการป่วยของลูกเรื่องน้ำหนักลูก ก็หายไปพร้อมๆกับอดีต
อย่าเพิ่งคิดว่าฉันจะกลายเป็นแม่ที่อารมณ์ดี ร่าเริง ใจดี...
เพราะฉันรู้ตัวเองดีว่าไม่มีวันจะเป็นแบบนั้น เพราะถ้าเป็นแบบนั้นตลอดเวลาล่ะก็
ฉันก็จะเป็นแค่ แม่ที่ไม่จริงใจ
ฉันเพียงแต่พบทางออกที่จะเป็นแม่ในแบบที่ตัวเองเป็น และทำให้ลูกมีความสุขได้ตามสมควร ไปพร้อมๆกัน
นั่นแหละ...เหตุผลที่ฉันอยากจะเริ่มเขียน Blog อย่างจริงจังกับเขาบ้าง ฉันอยากใช้ blog เป็นบันทึก และที่ระบายความรู้สึกของคนเป็นแม่อย่างตรงไปตรงมา เขียนอย่างที่รู้สึก
ถ้าหากการเริ่มเขียน blog ครั้งนี้ ฉันทำได้ต่อเนื่องมากกว่าที่เคย เขียนอย่างที่คิดนึก ที่รู้สึกจริงๆ ฉันคงได้ค้นพบอะไรอีกหลายอย่าง เพื่อลูก และเพื่อตัวของฉันเอง
หม่าม้าภูมิใจในตัวหนูมาก (ในหลายๆเรื่อง)
ปล. วันหลังต้องเขียนเรื่องพฤติกรรมน่าประทับใจของลูกบ้างดีกว่า มันคือความสุขในแต่ละวันของฉันเลย
จำไม่ได้ว่าเขียนจบเวลาเท่าไหร่..รู้แต่ดึกเหมือนเคย
เราต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนความคิด และเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองกระทำ ด้วยตัวของเราเอง
อย่าไปมัวลังเลหรือเสียเวลากับความคิดที่ย้อนไปมาว่าที่ผ่านมาเราเชื่ออะไร
ความกังวล หลายๆครั้งมันทำให้เราเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เราเสียความรู้สึกไปกับความกังวลที่ไม่ใช่เรื่องของปัจจุบัน
คำว่า”กังวล” สำหรับฉันคือความรู้สึกจากอดีตหรือเผื่อไปถึงอนาคตมากเกินไป
และหลายๆครั้ง มันไม่ได้แก้ปัญหาของปัจจุบัน หรือเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าเลย
คืนนั้นลูกตื่นมาร้องไห้หลายสิบครั้ง ร้องไห้ทั้งที่ไม่ลืมตา ร้องแบบสะอึกสะอื้นเหมือนเวลาผู้ใหญ่อย่างเราเก็บอะไรไว้หลายอย่างจนต้องระเบิดออกมานั่นแหละ ถ้าเป็นปกติฉันจะเริ่มดุลูกในครั้งที่สี่หรือห้าที่แกตื่นมาร้องไห้แบบไม่มีเหตุผลแล้ว แต่คืนนั้นฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น
ฉันปล่อยให้แกตื่นมาร้องไห้ อุ้มเท่าที่ทำได้ เหนื่อยก็เพียงแต่เงียบและรอจนตัวเองมีใจจะอุ้มจริงๆจึงอุ้มแกขึ้นมา ปะป๊าเริ่มทนไม่ไหวแล้วเดินมาดุลูกเองบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายลูกคงเหนื่อยจนหลับไป ส่วนฉัน..ก็นอนคิด น้ำตาไหล
ฉันกำลังทำอะไรอยู่?
ฉันดุลูก บังคับให้กินข้าว เพื่ออะไร?
เพื่อให้หายหวัด ให้กลับมาแข็งแรงเร็วๆ หรือเพื่อให้ฉันคลายความกังวลลง
ฉันเริ่มมองเห็นความเห็นแก่ตัวของคนเป็นแม่ในหลายๆด้าน
เราใช้ความรัก ความห่วงเป็นข้ออ้างในหลายอย่างที่ทำ และมันก็ฟังดูดี แต่แล้วลูกของเราก็งอแง เอาแต่ใจ แล้วเราก็บ่นว่าทำไมลูกเลี้ยงยากเลี้ยงเย็น ทำไมการมีลูกมันถึงได้ลำบากอย่างนี้ ทำไมอย่างโน้น ทำไมอย่างนี้
แล้วฉันก็คิดได้ว่า มันไม่ใช่ “ทำไม” อะไรทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างกำหนดได้ที่ตัวฉันเอง
ลูกไม่กินสักมื้อ สักวัน สักสามวัน สักสี่วัน น้ำหนักคงลดฮวบฮาบ แต่เค้าจะไม่ตาย ไม่ทุกข์ เพียงแต่ไม่สบายกาย
ฉันดุด่า บังคับลูกสักมื้อ สักวัน สักสามวันสี่ห้าวัน น้ำหนักแกก็จะลดฮวบฮาบ มีแต่ทุกข์ กังวล เสียใจ ไม่สบายทั้งกายและใจ
แล้วฉันจะทำไปเพื่ออะไร?
ฉันนอนหลับไป โดยเลิกคิดถึงอดีต เลิกคิดถึงวันนี้ เลิกคิดถึงพรุ่งนี้ เรื่องอาหารมื้อหน้า
เรื่องอาการป่วยของลูกเรื่องน้ำหนักลูก ก็หายไปพร้อมๆกับอดีต
อย่าเพิ่งคิดว่าฉันจะกลายเป็นแม่ที่อารมณ์ดี ร่าเริง ใจดี...
เพราะฉันรู้ตัวเองดีว่าไม่มีวันจะเป็นแบบนั้น เพราะถ้าเป็นแบบนั้นตลอดเวลาล่ะก็
ฉันก็จะเป็นแค่ แม่ที่ไม่จริงใจ
ฉันเพียงแต่พบทางออกที่จะเป็นแม่ในแบบที่ตัวเองเป็น และทำให้ลูกมีความสุขได้ตามสมควร ไปพร้อมๆกัน
นั่นแหละ...เหตุผลที่ฉันอยากจะเริ่มเขียน Blog อย่างจริงจังกับเขาบ้าง ฉันอยากใช้ blog เป็นบันทึก และที่ระบายความรู้สึกของคนเป็นแม่อย่างตรงไปตรงมา เขียนอย่างที่รู้สึก
ถ้าหากการเริ่มเขียน blog ครั้งนี้ ฉันทำได้ต่อเนื่องมากกว่าที่เคย เขียนอย่างที่คิดนึก ที่รู้สึกจริงๆ ฉันคงได้ค้นพบอะไรอีกหลายอย่าง เพื่อลูก และเพื่อตัวของฉันเอง
หม่าม้าภูมิใจในตัวหนูมาก (ในหลายๆเรื่อง)
ปล. วันหลังต้องเขียนเรื่องพฤติกรรมน่าประทับใจของลูกบ้างดีกว่า มันคือความสุขในแต่ละวันของฉันเลย
จำไม่ได้ว่าเขียนจบเวลาเท่าไหร่..รู้แต่ดึกเหมือนเคย
9 กันยายน 2553 - ฉันต้องเขียนมันออกมา
9 กันยายน 2553
ฉันเป็นแม่ที่ดุมาก..
แต่จะว่าไป มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียวหรอก ความจริงแล้ว ฉันเป็นแม่ที่ขี้โมโห ใจร้อน ไม่อดทน เสียงดัง และขี้รำคาญมากกว่า คำว่า “ดุ” ฉันใช้เอาไว้แก้ตัวว่าสิ่งที่ฉันแสดงออกไป ฉันทำเพื่อลูก.. ก็แค่นั้นเอง
การเขียน Blog แบบนี้ มันดีอย่างนี้นี่เองนะ ฉันสามารถยอมรับความจริงได้ ถึงมันจะแย่และไร้เหตุผลซักแค่ไหน ฉันว่ามันเหมาะกับคนที่กำลังเป็นแม่มากๆ เพราะหลายๆครั้งเรามีสังคมและภาพพจน์เป็นตัวบังคับ เราอยากเป็นแม่ที่ดี ในสายตาของคนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่กับตัวเองเท่านั้น เราไม่อยากทำอะไรหลายๆอย่างที่คนจะมองว่าเราเป็นแม่งี่เง่า เอาแต่ใจ ไม่อยากให้ใครพูดว่า “น่าสงสารลูกของผู้หญิงคนนั้น” เพราะเรากำลังใส่อารมณ์ กระชากแขน หรือขู่บังคับลูกอยู่ หรืออะไรทำนองนั้นแหละ
โดยปกติแล้วฉันสนิทกับลูกมาก เล่นกับแกมากที่สุด ลูกติดฉันพอดู ชอบกอดฉัน อยากให้ฉันเป็นคนอ่านนิทานและพาแกเข้านอน โดยปกติแล้ว... ฉันเป็นหม่าม้าที่ใจดี... โดยปกติแล้วของอารมณ์
ฉันอยากจะเริ่มเขียน Blog เมื่อไหร่?
ก็เหมือนที่บอกไว้ข้างบน มีเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีทางระบายออก ลูกของฉันกำลังป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ลูกเป็นเด็กตัวเล็ก มีปัญหาเรื่องน้ำหนักน้อยและระบบการเผาผลาญมากเกินปกติ ทำให้ฉันต้องเหนื่อยกับการพยายามดูปริมาณอาหารและนมในแต่ละวันให้มากพอที่จะทำให้น้ำหนักของแกเพิ่มขึ้น
ความเหนื่อยมันไม่ได้มีมาตั้งแต่แรกหรอกนะ นอกจากความตัวเล็ก เผาผลาญผิดปกติแล้ว มันมาประจวบเหมาะกับการที่ลูกไม่ยอมกินนมอื่นเลยนอกจากนมแม่ แถมยังกินนมแม่น้อยเหลือเกิน น้อยจนคุณหมอส่ายหัว ครบขวบ ลูกกินน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่เด็กคนอื่นกิน กินเฉพาะนมแม่เท่านั้น นมยี่ห้อไหน ผง กล่อง ซอง ขวด ถุง ฉันลองมาหมดแล้ว แกจะไม่แตะต้องเลย แม้จะต้องอดข้าวและอาหารอื่นทุกอย่างเป็นวันก็ตาม (ก็เพราะเหตุการณ์ทดลองอดข้าวให้กินแต่นมนี่แหละ ฉันถึงค้นพบว่าลูกน้ำหนักลดง่ายกว่าเด็กปกติมาก แล้วพบต่อไปอีกว่าระบบเผาผลาญของแกผิดปกติ)
จากที่ฉันมองตัวเองว่าเลี้ยงลูกอย่างสบายๆ มองว่าลูกคนแรกคนนี้ช่างเลี้ยงง่ายเลี้ยงดาย กลายเป็นความเครียด กังวล และสุดท้ายก็โมโห โกรธกับสิ่งที่เป็นไปซะทุกอย่าง ฉันเริ่มพูดออกมาว่าเหนื่อย ไม่อยากเลี้ยง ไม่รู้จะทำยังไง และคำพูดอื่นๆอีกมากมาย ที่ฉันตั้งใจว่าจะไม่พูดมันออกมาถ้าได้เป็นแม่ของเด็กสักคน
ฉันพูดมันออกมาหมด.. และรู้สึกแย่กับตัวเองจนแทบทนไม่ไหว
ฉันผิดหวังในตัวเองมาก... แต่ก็ยังไม่มากเท่ากับวันนี้
ลูกป่วยเป็นหวัดชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากไวรัส (หมายความว่าใช้ยารักษาไม่หาย) จะมีอาการเบื่ออาหารอย่างมาก และไข้สูงอย่างน้อยห้าวัน วันแรกที่ป่วย ฉันเตรียมทำใจไว้เหมือนแม่ที่ชำนาญและทำใจได้ ว่าลูกคงจะกินน้อยลงหน่อย เหมือนทุกครั้งที่เป็นหวัด มีน้ำมูก จะงอแงบ้างฉันก็ไหว พอวันที่สามสี่ ลูกมีไข้ตลอด และเริ่มไม่ยอมกินข้าวเลย อาหารปั่นซึ่งปกติเป็นหวัดงอมแงมแค่ไหนก็ยังยอมกิน (ก็อีก...ฉันทำเพื่อให้น้ำหนักลูกไม่ลดมากจากการเผาผลาญ) ป่วยครั้งที่ลูกไม่แตะต้องเลย แม้แต่น้ำก็เริ่มจิบไม่ไหว
จนกระทั่งคืนวันที่สี่ไข้สูงเกือบสี่สิบ เช้าตรู่ฉันจึงรีบพาแกไปโรงพยาบาล คุณหมอที่สนิทกันรีบให้ admit ทันที ลูกดูอ่อนเพลียกว่าที่เคยป่วยมาทุกครั้ง หลับกลางวันเยอะมาก ฉันสบายใจไปเปลาะนึงเมื่อเห็นลูกได้รับน้ำเกลือ
แต่คงเพราะป่วยมากจริงๆ ลูกงอแงผิดปกติไปมาก
คงต้องขอย้อนกลับไปอีกสักหน่อย...
ลูกฉันเป็นเด็กที่ไม่ร้องไห้เวลาไปโรงพยาบาล พี่พยาบาลจะวัดไข้ลูกก็จะยกแขนขึ้นให้วัด ชั่งน้ำหนักก็ยืนบนตาชั่งเองตั้งแต่ยืนเป็น วัดส่วนสูงแกก็ยืนเองอีกเหมือนกัน ขอฟังเสียงท้องก็เปิดเสื้อให้ ส่องไฟตรวจหู, จมูก หรือปาก ลูกก็หันและอ้าปากให้เองทุกครั้ง แม้กระทั่งเจาะเลือดหรือฉีดยา แกจะร้องออกมาตอนทนที่เข็มจิ้มเข้าไปในเนื้อเท่านั้น ไม่นานก็จะหยุด
ฉันอาจจะเสียนิสัยจากความอดทนของลูกก็เป็นได้
วันนี้ที่ลูกป่วยหนัก ลูกแสดงออกเหมือนเด็กปกติที่ฉันเคยเห็น ร้องไห้เมื่อเจอหน้าคุณหมอ พยาบาล และทุกคน แค่นั้นเองฉันก็เริ่มปวดหัวนิดหน่อยแล้ว พอลูกไม่ยอมกินอะไรสักคำเป็นวันๆ ความกังวลของฉันกลับกลายเป็นความโกรธ ฉันดุแกและพยายามบังคับให้กินข้าว ฉันดุมากขึ้น เสียงดังมากขึ้น เครียดมากขึ้น แล้วเริ่มบ่นให้ปะป๊า(ขอเรียกแบบที่ฉันเรียกปกติอย่างนี้เลยแล้วกัน) ฟัง ว่าฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันเหนื่อย และไม่รู้จะทำยังไง แต่ก็ยังคงดุต่อไป เดินหนี พยายามทำทุกอย่างให้ลูกยอมกิน
แต่รู้ไหม... ก่อนหน้านี้ถึงมันจะใช้ได้ผลดี วันนี้มันไม่ได้ผลอีกต่อไป
ตลอดเวลาที่ฉันดุลูก ลูกไม่ได้ส่งสายตาฟังสิ่งที่ฉันกำลังบอกให้ทำเลย แต่แกกำลังมองสีหน้า อารมณ์ และน้ำเสียงของฉันอย่างตั้งใจ แกมองด้วยสายตาที่อยากจะรู้ว่าฉันเป็นอะไรไป เป็นครั้งแรกที่ลูกบอกให้หม่าม้าไป แน่นอนฉันเดินหลบไป ลูกร้องไห้ที่มองไม่เห็นฉัน เรียกหาฉัน ส่วนฉันก็ร้องไห้ที่ลูกกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นเรียกหาหม่าม้า
ฉันยังนั่งหลบอยู่บนโซฟาเฝ้าไข้ ยังไม่อยากเดินกลับไปอุ้มลูก
เพราะลูกคงกำลังร้องไห้หาหม่าม้าที่แกเคยรู้จักก่อนจะมาถึงวันนี้มากกว่า
เรื่องคืนนั้นมันยังไม่จบ...แต่ฉันจะจบเรื่องเล่าสำหรับวันนี้เท่านี้
5 ทุ่ม 18 นาที
ฉันเป็นแม่ที่ดุมาก..
แต่จะว่าไป มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียวหรอก ความจริงแล้ว ฉันเป็นแม่ที่ขี้โมโห ใจร้อน ไม่อดทน เสียงดัง และขี้รำคาญมากกว่า คำว่า “ดุ” ฉันใช้เอาไว้แก้ตัวว่าสิ่งที่ฉันแสดงออกไป ฉันทำเพื่อลูก.. ก็แค่นั้นเอง
การเขียน Blog แบบนี้ มันดีอย่างนี้นี่เองนะ ฉันสามารถยอมรับความจริงได้ ถึงมันจะแย่และไร้เหตุผลซักแค่ไหน ฉันว่ามันเหมาะกับคนที่กำลังเป็นแม่มากๆ เพราะหลายๆครั้งเรามีสังคมและภาพพจน์เป็นตัวบังคับ เราอยากเป็นแม่ที่ดี ในสายตาของคนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่กับตัวเองเท่านั้น เราไม่อยากทำอะไรหลายๆอย่างที่คนจะมองว่าเราเป็นแม่งี่เง่า เอาแต่ใจ ไม่อยากให้ใครพูดว่า “น่าสงสารลูกของผู้หญิงคนนั้น” เพราะเรากำลังใส่อารมณ์ กระชากแขน หรือขู่บังคับลูกอยู่ หรืออะไรทำนองนั้นแหละ
โดยปกติแล้วฉันสนิทกับลูกมาก เล่นกับแกมากที่สุด ลูกติดฉันพอดู ชอบกอดฉัน อยากให้ฉันเป็นคนอ่านนิทานและพาแกเข้านอน โดยปกติแล้ว... ฉันเป็นหม่าม้าที่ใจดี... โดยปกติแล้วของอารมณ์
ฉันอยากจะเริ่มเขียน Blog เมื่อไหร่?
ก็เหมือนที่บอกไว้ข้างบน มีเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีทางระบายออก ลูกของฉันกำลังป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ลูกเป็นเด็กตัวเล็ก มีปัญหาเรื่องน้ำหนักน้อยและระบบการเผาผลาญมากเกินปกติ ทำให้ฉันต้องเหนื่อยกับการพยายามดูปริมาณอาหารและนมในแต่ละวันให้มากพอที่จะทำให้น้ำหนักของแกเพิ่มขึ้น
ความเหนื่อยมันไม่ได้มีมาตั้งแต่แรกหรอกนะ นอกจากความตัวเล็ก เผาผลาญผิดปกติแล้ว มันมาประจวบเหมาะกับการที่ลูกไม่ยอมกินนมอื่นเลยนอกจากนมแม่ แถมยังกินนมแม่น้อยเหลือเกิน น้อยจนคุณหมอส่ายหัว ครบขวบ ลูกกินน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่เด็กคนอื่นกิน กินเฉพาะนมแม่เท่านั้น นมยี่ห้อไหน ผง กล่อง ซอง ขวด ถุง ฉันลองมาหมดแล้ว แกจะไม่แตะต้องเลย แม้จะต้องอดข้าวและอาหารอื่นทุกอย่างเป็นวันก็ตาม (ก็เพราะเหตุการณ์ทดลองอดข้าวให้กินแต่นมนี่แหละ ฉันถึงค้นพบว่าลูกน้ำหนักลดง่ายกว่าเด็กปกติมาก แล้วพบต่อไปอีกว่าระบบเผาผลาญของแกผิดปกติ)
จากที่ฉันมองตัวเองว่าเลี้ยงลูกอย่างสบายๆ มองว่าลูกคนแรกคนนี้ช่างเลี้ยงง่ายเลี้ยงดาย กลายเป็นความเครียด กังวล และสุดท้ายก็โมโห โกรธกับสิ่งที่เป็นไปซะทุกอย่าง ฉันเริ่มพูดออกมาว่าเหนื่อย ไม่อยากเลี้ยง ไม่รู้จะทำยังไง และคำพูดอื่นๆอีกมากมาย ที่ฉันตั้งใจว่าจะไม่พูดมันออกมาถ้าได้เป็นแม่ของเด็กสักคน
ฉันพูดมันออกมาหมด.. และรู้สึกแย่กับตัวเองจนแทบทนไม่ไหว
ฉันผิดหวังในตัวเองมาก... แต่ก็ยังไม่มากเท่ากับวันนี้
ลูกป่วยเป็นหวัดชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากไวรัส (หมายความว่าใช้ยารักษาไม่หาย) จะมีอาการเบื่ออาหารอย่างมาก และไข้สูงอย่างน้อยห้าวัน วันแรกที่ป่วย ฉันเตรียมทำใจไว้เหมือนแม่ที่ชำนาญและทำใจได้ ว่าลูกคงจะกินน้อยลงหน่อย เหมือนทุกครั้งที่เป็นหวัด มีน้ำมูก จะงอแงบ้างฉันก็ไหว พอวันที่สามสี่ ลูกมีไข้ตลอด และเริ่มไม่ยอมกินข้าวเลย อาหารปั่นซึ่งปกติเป็นหวัดงอมแงมแค่ไหนก็ยังยอมกิน (ก็อีก...ฉันทำเพื่อให้น้ำหนักลูกไม่ลดมากจากการเผาผลาญ) ป่วยครั้งที่ลูกไม่แตะต้องเลย แม้แต่น้ำก็เริ่มจิบไม่ไหว
จนกระทั่งคืนวันที่สี่ไข้สูงเกือบสี่สิบ เช้าตรู่ฉันจึงรีบพาแกไปโรงพยาบาล คุณหมอที่สนิทกันรีบให้ admit ทันที ลูกดูอ่อนเพลียกว่าที่เคยป่วยมาทุกครั้ง หลับกลางวันเยอะมาก ฉันสบายใจไปเปลาะนึงเมื่อเห็นลูกได้รับน้ำเกลือ
แต่คงเพราะป่วยมากจริงๆ ลูกงอแงผิดปกติไปมาก
คงต้องขอย้อนกลับไปอีกสักหน่อย...
ลูกฉันเป็นเด็กที่ไม่ร้องไห้เวลาไปโรงพยาบาล พี่พยาบาลจะวัดไข้ลูกก็จะยกแขนขึ้นให้วัด ชั่งน้ำหนักก็ยืนบนตาชั่งเองตั้งแต่ยืนเป็น วัดส่วนสูงแกก็ยืนเองอีกเหมือนกัน ขอฟังเสียงท้องก็เปิดเสื้อให้ ส่องไฟตรวจหู, จมูก หรือปาก ลูกก็หันและอ้าปากให้เองทุกครั้ง แม้กระทั่งเจาะเลือดหรือฉีดยา แกจะร้องออกมาตอนทนที่เข็มจิ้มเข้าไปในเนื้อเท่านั้น ไม่นานก็จะหยุด
ฉันอาจจะเสียนิสัยจากความอดทนของลูกก็เป็นได้
วันนี้ที่ลูกป่วยหนัก ลูกแสดงออกเหมือนเด็กปกติที่ฉันเคยเห็น ร้องไห้เมื่อเจอหน้าคุณหมอ พยาบาล และทุกคน แค่นั้นเองฉันก็เริ่มปวดหัวนิดหน่อยแล้ว พอลูกไม่ยอมกินอะไรสักคำเป็นวันๆ ความกังวลของฉันกลับกลายเป็นความโกรธ ฉันดุแกและพยายามบังคับให้กินข้าว ฉันดุมากขึ้น เสียงดังมากขึ้น เครียดมากขึ้น แล้วเริ่มบ่นให้ปะป๊า(ขอเรียกแบบที่ฉันเรียกปกติอย่างนี้เลยแล้วกัน) ฟัง ว่าฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันเหนื่อย และไม่รู้จะทำยังไง แต่ก็ยังคงดุต่อไป เดินหนี พยายามทำทุกอย่างให้ลูกยอมกิน
แต่รู้ไหม... ก่อนหน้านี้ถึงมันจะใช้ได้ผลดี วันนี้มันไม่ได้ผลอีกต่อไป
ตลอดเวลาที่ฉันดุลูก ลูกไม่ได้ส่งสายตาฟังสิ่งที่ฉันกำลังบอกให้ทำเลย แต่แกกำลังมองสีหน้า อารมณ์ และน้ำเสียงของฉันอย่างตั้งใจ แกมองด้วยสายตาที่อยากจะรู้ว่าฉันเป็นอะไรไป เป็นครั้งแรกที่ลูกบอกให้หม่าม้าไป แน่นอนฉันเดินหลบไป ลูกร้องไห้ที่มองไม่เห็นฉัน เรียกหาฉัน ส่วนฉันก็ร้องไห้ที่ลูกกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นเรียกหาหม่าม้า
ฉันยังนั่งหลบอยู่บนโซฟาเฝ้าไข้ ยังไม่อยากเดินกลับไปอุ้มลูก
เพราะลูกคงกำลังร้องไห้หาหม่าม้าที่แกเคยรู้จักก่อนจะมาถึงวันนี้มากกว่า
เรื่องคืนนั้นมันยังไม่จบ...แต่ฉันจะจบเรื่องเล่าสำหรับวันนี้เท่านี้
5 ทุ่ม 18 นาที
22 สิงหาคม 2553 - ใหม่
ลูกเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ตอนสายๆ อะไรบางอย่างทำให้รู้สึกว่าฉันควรจะเริ่มเขียนบันทึกเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกกับเค้าดูบ้างสักครั้ง
ที่ลูกเข้าโรงพยาบาล อาจจะไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนหรืออะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่โรงพยาบาล ก่อความคิดความรู้สึกขึ้นมามากมาย ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่าเวลาคนเป็นแม่กลุ้มใจ หรืออยากระบายความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องลูก เรื่องการเลี้ยงลูก หรือแม้แต่อารมณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นแล้วระบายออกไม่ได้... ฉันควรจะปลดปล่อยมันยังไงดี?
ฉันต้องเลือกสถานที่ที่ฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากๆ ได้พูด ได้ระบายในทุกๆความรู้สึกโดยไม่ต้องกังวลถึงความคิดความรู้สึกใคร และไม่มีคำตัดสินใดของใคร มาทำให้ฉันต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเปลียนการตัดสินใจในเรื่องอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก
ก่อนที่จะมีลูก ฉันเคยมีความคิดหลายอย่างเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็ก เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการเลี้ยงลูกของใครหลายคน พอมาถึงวันของตัวเองบ้าง ยิ่งเวลาผ่านไป...ความคิดฉันยิ่งเปลี่ยนแปลง บทสรุปที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันตอนนี้คือ “ลูกของฉัน ก็คือลูกของฉัน ฉันรัก ฉันเลี้ยงลูก ในแบบวิธีของแม่อย่างฉันเท่านั้น” การตัดสินแม่คนอื่นที่ผ่านมา ฉันใช้สมองคิดอย่างคนตาบอดอธิบายภาพเขียนอย่างนั้น มันไร้สาระสิ้นดี
ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การคลอด การเลี้ยงดูเด็ก ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หนังสือแปล เว็บไซท์ โชคยังดีที่ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เพียงเพื่อให้ได้อ่านเท่านั้นอยู่แล้ว เชื่อหรือไม่เป็นเรื่องหลังจากการอ่านผ่านพ้นไปแล้ว และฉันอยากบอกว่าหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกเท่าที่ฉันเคยอ่านมา มีแค่ไม่กี่เล่มที่ผ่านตาแล้วฉันพยักหน้าให้กับมัน หลายๆเล่มหลายๆทฤษฎี สำหรับฉันแล้วมันไม่ใช่ความจริงสำหรับโลกของฉัน ไม่ใช่ว่าดูถูกผู้เขียน ลบหลู่ทฤษฎี ฉันเชื่อว่ามันมีที่มาที่ไป แต่ไม่ใช่สำหรับแม่ทุกคน มันไม่ใช่ตำราที่เปิดอ่านได้เมื่อเกิดปัญหา หรือคับข้องใจ มันไม่ใช่คำตอบ แต่มันเป็นเรื่องเล่าของแม่หรือครอบครัวอื่นเท่านั้น
มีแต่ฉัน ที่จะรู้ว่าลูกของฉันเป็นอย่างไร มีแต่ฉันที่บอกได้จากแววตาของลูก ว่าฉันกำลังเดินไปในทางที่ควรหรือไม่ควร
ควร...หมายถึงฉันกำลังทำสิ่งที่พาไปสู่จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุด ที่ฉันตั้งใจเอาไว้กับการเลี้ยงลูก
ไม่ควร....หมายถึงทางตรงกันข้าม
จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดน่ะหรือ?...
สำหรับฉันมันคือ “ความสุข” ของลูก
และฉันอยากจะให้มันเป็น “ความสุข” ที่ลูกจะสามารถมองเห็นและรู้สึกได้ ถึงแม้ว่าความทุกข์จะรายล้อมแกอยู่ก็ตาม
5 ทุ่ม 23 นาที
หม่าม้าของหนู
ที่ลูกเข้าโรงพยาบาล อาจจะไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนหรืออะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่โรงพยาบาล ก่อความคิดความรู้สึกขึ้นมามากมาย ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่าเวลาคนเป็นแม่กลุ้มใจ หรืออยากระบายความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องลูก เรื่องการเลี้ยงลูก หรือแม้แต่อารมณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นแล้วระบายออกไม่ได้... ฉันควรจะปลดปล่อยมันยังไงดี?
ฉันต้องเลือกสถานที่ที่ฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากๆ ได้พูด ได้ระบายในทุกๆความรู้สึกโดยไม่ต้องกังวลถึงความคิดความรู้สึกใคร และไม่มีคำตัดสินใดของใคร มาทำให้ฉันต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเปลียนการตัดสินใจในเรื่องอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก
ก่อนที่จะมีลูก ฉันเคยมีความคิดหลายอย่างเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็ก เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการเลี้ยงลูกของใครหลายคน พอมาถึงวันของตัวเองบ้าง ยิ่งเวลาผ่านไป...ความคิดฉันยิ่งเปลี่ยนแปลง บทสรุปที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันตอนนี้คือ “ลูกของฉัน ก็คือลูกของฉัน ฉันรัก ฉันเลี้ยงลูก ในแบบวิธีของแม่อย่างฉันเท่านั้น” การตัดสินแม่คนอื่นที่ผ่านมา ฉันใช้สมองคิดอย่างคนตาบอดอธิบายภาพเขียนอย่างนั้น มันไร้สาระสิ้นดี
ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การคลอด การเลี้ยงดูเด็ก ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หนังสือแปล เว็บไซท์ โชคยังดีที่ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เพียงเพื่อให้ได้อ่านเท่านั้นอยู่แล้ว เชื่อหรือไม่เป็นเรื่องหลังจากการอ่านผ่านพ้นไปแล้ว และฉันอยากบอกว่าหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกเท่าที่ฉันเคยอ่านมา มีแค่ไม่กี่เล่มที่ผ่านตาแล้วฉันพยักหน้าให้กับมัน หลายๆเล่มหลายๆทฤษฎี สำหรับฉันแล้วมันไม่ใช่ความจริงสำหรับโลกของฉัน ไม่ใช่ว่าดูถูกผู้เขียน ลบหลู่ทฤษฎี ฉันเชื่อว่ามันมีที่มาที่ไป แต่ไม่ใช่สำหรับแม่ทุกคน มันไม่ใช่ตำราที่เปิดอ่านได้เมื่อเกิดปัญหา หรือคับข้องใจ มันไม่ใช่คำตอบ แต่มันเป็นเรื่องเล่าของแม่หรือครอบครัวอื่นเท่านั้น
มีแต่ฉัน ที่จะรู้ว่าลูกของฉันเป็นอย่างไร มีแต่ฉันที่บอกได้จากแววตาของลูก ว่าฉันกำลังเดินไปในทางที่ควรหรือไม่ควร
ควร...หมายถึงฉันกำลังทำสิ่งที่พาไปสู่จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุด ที่ฉันตั้งใจเอาไว้กับการเลี้ยงลูก
ไม่ควร....หมายถึงทางตรงกันข้าม
จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดน่ะหรือ?...
สำหรับฉันมันคือ “ความสุข” ของลูก
และฉันอยากจะให้มันเป็น “ความสุข” ที่ลูกจะสามารถมองเห็นและรู้สึกได้ ถึงแม้ว่าความทุกข์จะรายล้อมแกอยู่ก็ตาม
5 ทุ่ม 23 นาที
หม่าม้าของหนู
Subscribe to:
Posts (Atom)