Hello there :)

I just start blogging for not very long and still learning how it works. So please feel free to leave comments just about anything. Ideas and suggestions about how to improve things will be very appreciated. Thanks!

Monday 13 September 2010

14 กันยายน 2553 - ผ่านไป

เสียงเครื่องตรวจปริมาณออกซิเจนของลูกดังติ๊ด ติ๊ด...

ฉันได้แต่ยืนอยู่ข้างๆตู้อบสำหรับเด็กแรกเกิด จ้องมองเข้าไปในตู้ ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคิดหรือรู้สึกอย่างไร

คุณหมอเด็ก ที่สนิทกับพ่อของฉัน มาเยี่ยมดูลูกในวันที่ 4 หลังคลอด ฉันอยู่ตามลำพังกับลูก เพราะอยากจะฝึกให้นมด้วยตัวเองก่อนจะต้องกลับบ้าน พี่สาวฉันมาเยี่ยมเหมือนทุกวัน แล้วในขณะที่อาหมอกับลังคุยกับพี่สาว ฉันก้มไปมองหน้าลูก เห็นผิวลูกเปลี่ยนเป็นสีอมม่วงเลยถามเบาๆว่าลูกหนาวไหม อาหมอหันมาดูบ้าง แล้วอุ้มลูกวิ่งไปห้องพักเด็กอ่อนทันที พี่สาวฉันวิ่งตามไป ฉันยังไม่ตกใจมากนัก อาการเจ็บแผลผ่าคลอดยังมีอยู่มาก เลยได้แต่ค่อยๆเดินช้าๆออกมาที่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาล ขอรถเข็นตามไป

ผ่านไปไม่นาน อาหมอบอกฉันว่าลูกมีอาการขาดออกซิเจนเป็นพักๆ ฟังจากเสียงตรวจวัดระดับออกซิเจนในตอนนี้ฉันก็พอรู้ มันยังเตือนว่าออกซิเจนต่ำอยู่หลายครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ อาหมอเลยขอย้ายลูกลงไปอยู่ห้องฉุกเฉินสำหรับเด็กแรกเกิด พี่สาวฉันมีสีหน้าวิตกกังวล แต่บอกตามตรง ตอนนั้นฉันเองยังไม่รู้สึกอะไรมากนัก ไม่นานพี่สาวฉันต้องออกไปรับลูกที่โรงเรียน ช่วงนี้พ่อแม่ของฉันก็มีภาระเรื่องอื่นที่หนักหนามากพอสมควร ฉันจึงไม่มีใครมาเยี่ยมบ่อยนัก กลางวันฉันจึงอยู่คนเดียวซะเป็นส่วนใหญ่ อาหมอบอกว่ารอให้ห้องข้างล่างพร้อมแล้วจะย้ายลูกลงไป แกเองก็ต้องไปดูคนไข้คนอื่นต่อ แปลกที่ในตอนนั้นหน้าตาอาหมอ ยังดูวิตกกังวลมากกว่าฉันหลายเท่า

ลูกนอนหายใจเบาๆอยู่ในตู้อบ เราสองคนรอเวลาอยู่ในห้องเล็กๆห้องหนึ่งของส่วนดูแลเด็กแรกเกิด ฉันยืนอยู่นิ่งๆสักพัก พยาบาลที่อยู่ใกล้ๆคงเห็นเลยบอกฉันว่าฉันจับตัวลูกได้ เค้าเลยเปิดประตูบานเล็กๆข้างๆตู้ให้ฉันได้ยื่นมือเข้าไป ฉันจับมือเล็กๆของลูกเบาแสนเบา

ห้องเล็กๆห้องนั้นเงียบสงบลงไป เดือนเกิดของลูกเป็นเดือนยอดนิยมของปีนั้น คนมาทำคลอดกันจนห้องพักเต็ม พยาบาลดูแลเด็กมีงานล้นมือ พอเปิดตู้ให้ฉันแล้วเธอจึงต้องรีบออกไปทำงานอย่างอื่นต่อ ฉันเงียบ... ฟังเสียงติ๊ดๆของเครื่องที่ติดกับนิ้วเล็กๆของลูกต่อไป ในใจเริ่มคิดขึ้นมาได้ ฉันเพิ่งรู้สึก ณ วินาทีนั้น ว่าลูก.. ฉันมีลูก และลูกของฉันกำลังป่วย

บอกตามตรง กว่าฉันจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่จริงๆก็วันนั้นเอง

ฉันกระซิบกับลูกเบาๆว่า “เข้มแข็งนะ หนูเจ็บบ้างไหม แม่อยากให้หนูอดทน ไม่ต้องกลัว เข้มแข็งเหมือนที่แม่เข้มแข็ง”เสียงติ๊ด..ติ๊ด ยังดังอยู่อย่างสม่ำเสมอ ดังแล้วก็เงียบเป็นระยะ

ฉันเดินลงไปส่งลูกที่ห้องฉุกเฉิน รอจนพบคุณหมอที่ชำนาญพิเศษเกี่ยวกับเด็กแรกเกิด คุณหมอบอกว่าลูกขาดน้ำมาก คงเพราะนอนเก่ง กินนมน้อย ต้องให้น้ำเกลือ ส่วนเรื่องขาดออกซิเจนยังไม่รู้สาเหตุ แต่จะลองเพาะเชื้อดู อาจติดเชื้อหรือไม่ก็ได้ทั้งนั้น ต้องรอประมาณ 24 ชั่วโมง ฉันฟังทุกรายละเอียดอย่างตั้งใจ และมั่นใจว่าคุณหมอกำลังดูแลลูกฉันอย่างดีที่สุดแล้ว

โชคดีที่น้ำนมมาตั้งแต่วันแรกคลอด อาหมอแวะมาหาฉันหลังจากคุยกับคุณหมอเฉพาะทางเสร็จ แกให้กำลังใจ บอกฉันต้องเปลี่ยนวิธีให้นมเป็นแบบหยอดหรือดูดจากขวด สำหรับฉันสิ่งสำคัญไม่ใช่วิธีการให้อยู่แล้ว ความรักของฉันอยู่ที่ตัวลูก ไม่ใช่น้ำนมไม่ใช่การให้นม ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องคิด ฉันก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย อาหมอบอกให้ฉันขยันปั้มนม ตอนนี้เราแค่รอผล อาหมอคงกลัวว่าความเครียดจะทำให้ฉันไม่มีน้ำนมพอให้ลูก

ฉันเห็นลูกได้น้ำเกลือ แล้วย้ายไปนอนในตู้อบพิเศษของห้องฉุกเฉินเด็กเรียบร้อย จึงกลับขึ้นห้องพักไปอาบน้ำเพราะยังไม่ได้อาบมาตั้งแต่เช้า ระหว่างเดินก็กดโทรศัพท์หาสามี เล่าอาการลูกให้ฟัง ฉันบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆจนกระทั่งเกือบจะวางสายน้ำตาหยดแรกค่อยๆไหลออกมา...ฉันเป็นห่วงลูก แต่น้ำตากับความกังวลใจก็หายไปหลังจากอาบน้ำ ฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าจะทำอย่างไร คำตอบที่ได้คือทำให้ดีที่สุดในส่วนของฉัน ฉันจะมีน้ำนมให้ลูก ฉันต้องเข้มแข็งเหมือนที่บอกกับลูกเอาไว้

ตกเย็นพ่อแม่พี่สาวและหลานฉันแวะเข้ามาเยี่ยม พี่สาวฉันน้ำตาไหลกังวลใจว่าตัวเองเป็นต้นเหตุหรือเปล่า เพราะกำลังเป็นหวัดอยู่นิดหน่อย ฉันไม่สนใจหรอกว่าความเป็นจริงมันจะเกิดจากสาเหตุอะไร ฉันสนใจผลและสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ฉันปลอบใจพี่ แล้วขึ้นไปกินข้าวจนหมดจาน ใช่แล้ว..ฉันกินข้าวอย่างคนไม่กังวล ฉันรู้สึกมั่นใจจริงๆว่าฉันได้ทำส่วนของตัวเองอย่างดี หลังจากทุกคนกลับไปฉันก็ลงไปเฝ้าลูกอีก ตอนนั้นฉันยังอุ้มลูกไม่ได้ ได้แต่มองผ่านตู้อบ ฉันเปลี่ยนมาปั๊มนมในห้องปั๊มของแผนกฉุกเฉิน รู้สึกมีกำลังใจอย่างมากแค่ได้อยู่ใกล้ลูก

ความอ่อนแอของฉันเริ่มต้นในคืนนั้นเอง ทุกคืนที่ผ่านมาฉันจะตื่นเองอัตโนมัติทุกๆสามชั่วโมงเพื่อให้นมลูก พยาบาลจะเข็นเตียงเล็กๆพาลูกเข้ามาในห้องพัก คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ คอยมองประตูห้องเหมือนพยาบาลจะพาลูกเข้ามาตลอดเวลา ความมืดและความเงียบตอกย้ำว่าลูกฉันป่วย สามีของฉันนอนหลับไปตั้งนานแล้ว ก่อนนอนเขาถามว่าฉันเป็นยังไงบ้าง ฉันก็ได้แต่ตอบว่ากังวลมาก แล้วถามว่าเขาเองรู้สึกยังไง เขาตอบว่า...

เขาจะไม่ยอมเสียใจ เศร้าใจไปก่อนแม้แต่วันเดียว จะไม่ยอมเสียเวลาความสุขที่มีลูกอยู่อย่างวันนี้
ถ้าหากอาการป่วยของลูกจะต้องทำให้ลูกไม่ได้อยู่กับเราอีก เขาก็จะรอจนเสียใจในวันนั้น


ฉันเห็นด้วยอย่างเต็มที่ มันคือความจริงที่ฉันเองก็จะทำให้ได้เหมือนกัน ความดีใจที่ลูกได้เกิดมาเป็นลูกของฉัน ความโชคดีที่ฉันได้เป็นแม่ของเค้า ไม่ว่ายังไงมันก็มาถึงเรียบร้อยแล้ว ส่วนมันจะยาวนานแค่ไหน ฉันไม่สนใจ

คืนนั้นฉันใช้เวลาที่ตัวเองนอนไม่หลับไปกับการกินนมร้อนๆ เดินไปปั๊มนมพร้อมกับเยี่ยมลูกทุกๆสามชั่วโมง หน้าตาลูกดูสดใสขึ้นมาก คงเพราะได้น้ำเกลือช่วย ฉันใจชื้นกับภาพที่เห็น แต่เสียงติ๊ด..ติ๊ด ก็ยังมีอยู่

คืนที่สองตอนหัวค่ำที่ฉันลงไปเยี่ยมลูกและปั๊มนม พยาบาลให้ฉันอุ้มลูกและป้อนนมจากขวดด้วยตัวเองแล้ว ฉันดีใจมากบรรยายไม่ถูก แกกินนมเก่งขึ้นมากในวันนี้ ดูดแป๊บเดียวนมหมดขวด ฉันเองก็ปั๊มนมได้เยอะจนพยาบาลและอาหมอแปลกใจ ลูกอยู่ห้องฉุกเฉินในวันที่สอง ฉันก็เริ่มมีสต๊อคนมแม่กับเขาแล้ว ฉันยังจำได้ดีว่าวันนั้นที่ได้อุ้มลูกออกจากตู้อบ ฉันเก็บเสื้อหนาวที่ใส่ตอนอุ้มลูกไปนอนกอดอยู่เป็นนานสองนาน หายคิดถึงช่วงเวลาที่ได้กอดลูกให้นมบนเตียงคนไข้ไปได้มาก

ผลเพาะเชื้อออกมาว่าแกไม่ได้ติดเชื้ออะไร หมอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร รู้แต่ว่าพอให้ลูกนอนหัวสูงหน่อยอาการขาดอ๊อกซิเจนก็จะหายไป หลังจากนั้นเลยเป็นช่วงเวลาที่ฉันเพียงแต่เฝ้าดูอาการไป พร้อมๆกับดูแลตัวเองให้มีน้ำนมให้ลูกมากๆ ฉันโชคดีที่พ่อแม่เข้าใจและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความสบายใจของฉัน ฉันขออยู่โรงพยาบาลต่อจนกว่าลูกจะพร้อมกลับบ้าน ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่มาคลอดแล้วอยู่โรงพยาบาล 4 วัน ฉันอยู่ที่นั่นนานถึง 10 วัน อยู่จนโรงพยาบาลกลายเป็นเหมือนบ้านอีกหลังหนึ่ง

ระหว่างช่วงเวลานั้นเองฉันเริ่มมองไปรอบตัว มีเด็กคนอื่นอีกสามสี่คนที่ต้องพักอยู่ห้องฉุกเฉินกับลูกของฉัน หนึ่งในนั้นนอนอยู่ในเครื่องพิเศษในห้องพิเศษอีกห้องหนึ่งติดๆกัน พยาบาลเล่าว่าเค้าเกิดก่อนกำหนดนานหลายเดือน น้ำหนักแรกเกิดเพียง 600-700 กรัมเท่านั้น ณ วันที่ลูกของฉันเข้าไปนอนห้องฉุกเฉิน คุณหมอดูแลจนแกน้ำหนักขึ้นมาถึง 1 กิโลกรัมแล้ว ฉันโชคดีแค่ไหนที่ลูกป่วยเพียงแค่นี้

บ่ายวันก่อนกลับบ้าน ฉันมีโอกาสได้เจอพ่อกับแม่ของเด็กคนนั้นโดยบังเอิญ ปกติฉันลงไปเยี่ยมลูกไม่เคยเจอกับพวกเค้าเลย พ่อของเด็กตัวโตมาก แม่เองก็ไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กซะทีเดียว หน้าตาของพวกเขาเรียบเฉย ไม่ได้ยิ้มแย้มแต่ก็ไม่ได้ดูเคร่งเครียดมากนัก พวกเขาเปิดประตูห้องฉุกเฉินเข้าไป แล้วจับบานประตูไว้ให้ฉันเดินเข้าไปด้วย แปลก...ที่บางคนที่ไม่มีเรื่องหนักหนาในชีวิต แทบไม่เคยเปิดประตูให้คนถัดไปเลย

เรื่องเล่าเรื่องนี้... ฉันเก็บเอาไว้เตือนใจตัวเอง

เหตุการณ์บางอย่างในชีวิตอาจเกิดขึ้น ด้วยเหตุผลที่เราอธิบายไม่ได้ มันเกิด เพียงเพราะต้องเกิด

หากเรามัวแต่ถามตัวเองวกวนไปมาว่าทำไมต้องเกิด ทำไมต้องเกิดกับฉัน ทำไมเป็นฉัน ก็เป็นเพียงเวลาที่เสียไปกับความทุกข์ที่ไม่มีวันจบสิ้น ฉันไม่เสียเวลาตั้งคำถามแบบนั้นกับเหตุการณ์นี้ในชีวิต ฉันถามตัวเองแค่ว่าจะทำยังไงต่อไป มีอะไรที่ฉันทำได้บ้าง แล้วฉันก็ก้มหน้าก้มตาทำมันอย่างดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของฉันมี ทุกๆสิ่งมันก็จะเป็นอย่างที่ควรจะเป็น เป็นไปอย่างที่ต้องเป็นไป

ชีวิตคนเราก็มีแค่นี้ ทั้งความรู้สึก ความกังวล ความกลัว ความทุกข์หรือแม้แต่ความสุข

ผ่านมา.....แล้วก็ผ่านไป


เที่ยงคืน 58 นาที

No comments:

Post a Comment